เมื่อพูดถึง “กัญชากับคนไทย” ในปัจจุบัน เชื่อว่าหลายคนยังมีอคติและภาพจำในแง่ลบเกี่ยวกับเจ้าพืชใบเขียวห้าแฉกแสนสวยนี้ อันเนื่องมาจากการเสพสื่อในชีวิตประจำวัน ทั้งแบบดั้งเดิมและสื่อใหม่ เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ สื่อสังคมออนไลน์ เว็บไซต์ เป็นต้น ที่ล้วนแต่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับกัญชาเพียงด้านเดียว คือ ด้านร้าย ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด หากบริโภคจะทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายและจิตใจ เหมือนตัวละครที่ติดยาในภาพยนตร์ หรือละคร ที่มีรูปร่างผอมโซ หน้าตาน่าเกลียด หรือแม้กระทั่งถูกมองว่าเป็นพวกกเฬวราก ขี้ยา สติฟั่นเฟือน หรือประกอบอาชีพไม่สุจริต
แม้ว่าภาครัฐของไทยจะเริ่มผ่อนปรนอนุญาตให้ใช้กัญชา เฉพาะบางส่วนของต้นกัญชาได้แล้ว และพยายามผลักดันให้เป็นพืชเศรษฐกิจทำเงินของไทย โดยประโคมเผยแพร่เป็นข่าวทั้งบนสื่อเล็กสื่อใหญ่ของประเทศก็แล้ว แต่นั่นก็ยังไม่สามารถลบภาพจำที่ไม่ดีของกัญชาได้ ทั้งที่ยุค “กัญชากับคนไทย” อยู่ด้วยกันได้อย่างเสรี จะเพิ่งผ่านพ้นไปได้เพียง 87 ปีเท่านั้น!
ถ้าจะเล่าประวัติศาสตร์ “กัญชากับคนไทย” คงต้องขอเล่าตามลำดับไทม์ไลน์ โดยขอพาทุกคนย้อนกลับไปในอดีตกาลเมื่อหลายร้อยปีก่อน แล้วค่อย ๆ กลับมายังปัจจุบันปี 2564
ย้อนประวัติศาสตร์ “กัญชากับคนไทย” กลับไปกว่า 700 ปีก่อน
ต้องเท้าความก่อนว่า ในประวัติศาสตร์ชาติไทย ไม่มีการบันทึกเรื่องราวและเวลาที่แน่ชัด ว่าใคร หรือชาติใดเป็นผู้นำเข้ากัญชา แล้วนำมาเผยแพร่ในประเทศไทย มีเพียงแต่การสันนิษฐานจากบันทึกทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับกัญชาของชาติที่เข้ามาเผยแพร่อิทธิพลทางศาสนาดินแดนสุวรรณภูมิ หรือทำมาค้าขายกับไทย หรือสมัยก่อนเรียกว่า “สยาม” เช่น จีน อินเดีย โดยผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์กัญชาคาดว่า “กัญชากับคนไทย” นั้นอยู่คู่กับคนไทยมานานกว่า 700 ปี หรือประมาณปีคริสต์ศักราช 1300 เป็นต้นมา เพราะช่วงเวลานี้ กัญชาเป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายในอินเดียและนานาประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเป็นส่วนประกอบอาหาร เครื่องเทศ ยา และทำเส้นใย
พบหลักฐานการใช้กัญชากับคนไทยในทางการแพทย์ครั้งแรก
ประมาณช่วงปี พ.ศ. 2202 ซึ่งตรงกับสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พบหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร ว่ามีการใช้กัญชากับคนไทยในเชิงการแพทย์ ใน “ตำราพระโอสถพระนารายณ์” มีตำรับยาไทยที่เข้ากัญชา จำนวน 3 ตำรับ โดยพบตำรับยาที่เข้ากัญชา โดยมีกัญชาเป็นส่วนประกอบหลัก หรือที่เรียกว่า Active Ingredient ได้แก่ ตำรับยาที่ชื่อว่า “ยาทิพกาศ” ซึ่งมีส่วนประกอบหลักเป็นใบกัญชาถึง 16 ส่วน และ “ตำรับยาศุขไสยาศน์” มีส่วนประกอบหลักเป็นใบกัญชาถึง 12 ส่วน โดยตำรับยาที่มีส่วนผสมของกัญชาส่วนใหญ่มีสรรพคุณหลัก ๆ คือ ช่วยให้เจริญอาหาร นอนหลับสบาย บำรุงร่างกาย และแก้ปวด
ขณะที่ราชทูตฝรั่งเศส “ลาลูแบร์” ได้บันทึกถึงอุปกรณ์สูบยาของแขกมัวร์ที่ชาวสยามนิยมใช้ เรียกว่า “มอระกู่” สันนิษฐานว่าอาจถูกใช้กับกัญชา
ในสมัยรัชการที่ 1 พบคนไทยใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ บนภาพวาดฝาผนังวัดและในบทประพันธ์ของสุนทรภู่
ในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หรือในหลวงรัชกาลที่ 1 ช่วงปี พ.ศ. 2325 หรือราวสองร้อยกว่าปีที่แล้ว พบว่า คนไทยสูบกัญชา เพื่อการผ่อนคลาย และใช้เพื่อเยียวยาสุขภาพเป็นเรื่องปกติ แม้ว่าจะไม่ได้ทำกันอย่างโจ่งแจ้ง เหมือนคนยุคปัจจุบันสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ “คนไทยกับกัญชา” อยู่คู่กันเป็นเรื่องปกติมาก ขนาดที่ว่าภาพชาวบ้านตาสีตาสาสูบกัญชายังไปปรากฎอยู่บนผนังวัดพระแก้ว หรือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ
นอกจากนี้ บนผนังวัดพระแก้ว ยังพบภาพวาดของบรรดาลิงในกองทัพพระราม จากเรื่องรามเกียรติ์ สูบกัญชาเป็นบ้องพ่นควันกันอย่างคึกครื้นด้วย
ขณะเดียวกันกัญชายังถูกจดบันทึกและแต่งเป็นบทประพันธ์ไว้มากที่สุด โดย ”สุนทรภู่” นักแต่งบทกวีชื่อดังของไทยที่ใคร ๆ ก็รู้จัก อย่างเช่น ใน “นิราศเมืองแกลง” มีการผูกกลอนออกชื่อกัญชาถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกพูดถึงอาการ “ครึ้มอกครึ้มใจ” ความว่า “หยุดตะพานย่านกลางบางปลาสร้อย พุ่มกับน้อยสรวลสันต์ต่างหรรษา นายแสงหายคลายโทโสที่โกรธา ชักกัญชานั่งกริ่มยิ้มละไม”
และครั้งที่สอง คือ ตอนที่เมากัญชามากแล้ว “ทำซมเซอะเคอคะมาปะขา แต่โดยเมากัญชาจนตาขวาง แกไขหูสู้นิ่งไปตามทาง ถึงพื้นล่างแลลาดล้วนหาดทราย ต่างโหยหิวนิ่วหน้าสองขาแข็ง ในคอแห้งหอบรนกระกนกระหาย กลืนกระเดือกเกลือกกลิ้นกินน้ำลาย เจียนจะตายเสียด้วยร้อนอ่อนกำลัง”
ในรัชกาลที่ 4 พบภาพวาด “กัญชากับคนไทย” บนผนังวัดมกุฏกษัตริยาราม
จิตรกรรมวิหารวัดมกุฏเขียนกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ถ่ายทอดเรื่องราวของพุทธบริษัทตามที่ปรากฏในพระสูตรต่าง ๆ และมีภาพเล่าเรื่องวิถีชีวิตชาวบ้านแทรกอยู่ด้วย สามารถพบเห็นคนไทยสูบกัญชาพร้อมอุปกรณ์การเสพอย่างครบครันได้อย่างดาษดื่นบนฝาผนังวัด
แต่ที่ชวนตะลึงกว่า มีการวาดภาพพระสงฆ์สิบกว่ารูป นั่งอยู่ในศาลา กำลังก๊งเหล้า บางรูปเล่นหมากรุก บางรูปกำลังสูบอะไรสักอย่างเป็นท่อยาว ๆ (คาดว่าเป็นบ้องสูบกัญชา) แต่เหมือนโดนป้ายสีลบออกไป
สมัยรัชกาลที่ 5 พบกัญชาในตำรับยาแพทย์แผนโบราณ
“ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์” มีตำรับยาไทยที่เข้ากับกัญชา จำนวน 11 ตำรับ มาจากพระคัมภีร์ต่าง ๆ เช่น พระคัมภีร์ปฐมจินดาร์ พระคัมภีร์สรรพคุณ (แลมพิกัด) เป็นต้น ซึ่งครอบคลุมการรักษา ตั้งแต่ระบบทางเดินอาหาร ไปจนถึงอาการปวดเมื่อย
สมัยรัชกาลที่ 6 พบภาพวาดชาวบ้านสูบกัญชาบนจิตรกรรมฝาผนังวัดในต่างจังหวัด
“วัดเกาะแก้วสุทธาราม” จังหวัดเพชรบุรี ปรากฎรูปชาวบ้านสูบกัญชาของชายหนุ่มนั่งในท่าสะลึมสะลือ ข้างตัวมีมีดสำหรับหั่นกัญชา และหม้อสำหรับสูบ กัญชาเสียบพวยแหลมเรียกว่า “ตุ้งก่า” สันนิษฐานว่า วาดขึ้นราว 100 ปีก่อน
“วัดนาพรม” จังหวัดเพชรบุรีพบภาพเขียนเมียกุมขมับ ในยามที่ผัวพี้กัญชา เป็นจิตรกรรมอยู่บนฝาผนังศาลาการเปรียญ
“วัดจันทราวาส” จังหวัดเพชรบุรี พบภาพชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ในท่าสบาย กำลังสูบกัญชา ด้านหน้ามีอุปกรณ์ในการเสพ ทั้งมีดและเขียงวางอยู่ ขณะที่เพื่อนอีกคนหลับอยู่ข้าง ๆ คาดว่าเมาจนคอพับไป
และ “วัดม่วง” จังหวัดราชบุรี พบภาพของสองหนุ่มมอญกำลังเล่นกัญชากันอย่างเพลิดเพลิน
ในรัชกาลที่ 8 และ 9 กัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
ในปี พ.ศ. 2477 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล หรือในหลวงรัชกาลที่ 8 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ. 2477 กำหนดให้การครอบครอง ขาย และใช้กัญชาเป็นความผิดตามกฎหมาย กฎหมายอีกสองฉบับที่มีความสำคัญ ได้แก่ พระราชบัญญัติยาเสพติด พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ที่ปะกาศใช้อย่างเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ 9
15 ธันวาคม 2563 ไทยเป็นชาติแรกในอาเซียนที่ปลดล็อกกัญชา
นับตั้งแต่ปลายปี 2563 ตั้งแต่ประเทศไทยปลดล็อกกัญชา ก็เริ่มมีนโยบายและคำสั่งผ่อนปรนมาตรการควบคุมการใช้กัญชาที่เข้มข้นให้เบาลง โดยไม่ถือว่า “กัญชา” เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ประชาชนชาวไทยสามารถนำบางส่วนของต้นกัญชาไปประกอบอาหาร และทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องมาจากแหล่งที่มีใบอนุญาตปลูกกัญชาถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนผู้อยากปลูกก็ต้องขอใบอนุญาต ส่วนผู้จำหน่ายกัญชาเองก็สามารถขอใบอนุญาตจาก อย. เป็นหลักฐานยืนยันแก่ผู้ซื้อว่า ตัวเองได้ทำถูกต้องตามกฎหมาย
สำหรับประวัติศาสตร์กัญชากับคนไทยจะเป็นอย่างไรต่อไปนับจากนี้ จะมีการสร้างประวัติศาาสตร์หน้าใหม่อะไรเพิ่มเติม คงต้องติดตามกันต่อไป โดยเฉพาะช่วงท้ายปี 2564 ว่าไทยจะสามารถปลดล็อกให้ประชาชนทั่วไปทั้งประเทศปลูกกัญชาได้คนละ 6 ต้น โดยไม่ผิดกฎหมายได้หรือไม่ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมสายเขียว เพราะการที่ประชาชนเข้าถึงกัญชาได้มากขึ้น ก็อาจจุดประกายและก่อเกิดธุรกิจ หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ จากกัญชาแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ได้
(อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง: ประวัติศาสตร์ย่อ “กัญชากับมนุษยชาติ” )
ที่มาข้อมูล: งานวิจัย “การใช้กัญชาทางการแพทย์” โดย วีรยา ถาอุปชิต และ นุศราพร เกษสมบูรณ์ (เมื่อ 21 มีนาคม 2560), คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, สารคดี, ไทยรัฐ, Voice TV, กรุงเทพธุรกิจ และสำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์