“กัญชา” ถูกนำมาใช้เพื่อการผ่อนคลาย เป็นยา และทำวัสดุสิงท่อในปัจจุบัน และมองว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ แต่รู้หรือไม่ว่า… “มนุษย์กับกัญชาอยู่คู่กันมานานกว่าหลายหมื่นปีแล้วตามประวัติศาสตร์” มนุษย์เริ่มใช้กัญชาเพื่อวัตถุประสงค์เหล่านี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วมันเปลี่ยนจากพืชที่ใช้ได้อย่างดาษดื่นมาเป็นพืชในบัญชียาเสพติดผิดกฎหมายได้อย่างไร และเมื่อใดกัน?
WeedHub ได้รวบรวมข้อมูลประวัติศาสตร์กัญชากับมนุษยชาติตั้งแต่ก่อนคริสต์ศักราชจนถึงปัจจุบันทั้งหมดมาสรุปย่อรวบตึง เล่าสู่ให้ทุกคนฟังไว้ที่นี่แล้ว
“ก่อนคริสต์ศักราช”
เมื่อราว 26,900 ปีก่อนคริสตกาล – เมื่อยังไม่มีอารยธรรมใดเกิดขึ้น
นักประวัติศาสตร์พบหลักฐานแรกสุดของกัญชาในโลกโบราณสมัย “ยุคหินเก่า” ราวสองหมื่นเกือบสามหมื่นกว่าปีที่แล้ว หรือในยุคที่ยังไม่มีอารยธรรมใดเกิดขึ้น แต่หลักฐานที่พบไม่ได้บ่งบอกว่ามนุษย์นำกัญชามาใช้เพื่อสันทนาการ แต่เป็นการนำเอาเส้นใยของกัญชามาผลิตเป็น “เส้นเชือก” และหลักฐานที่ว่านั้นก็คือ เชือกโบราณจากเส้นใยของต้นกัญชา ที่ค้นพบในสาธารณรัฐเช็กเมื่อปี ค.ศ. 1997
เมื่อราว 12,000 ปีก่อนคริสตกาล – ยุคต้นหินใหม่ มนุษย์เริ่มรู้จักเพาะปลูก
นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีเชื่อว่า “กัญชาสายพันธุ์ซาติวา (Cannabis Sativa)” ถูกมนุษย์ปลูกขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ตั้งแต่ 12,000 ปีก่อนคริสตกาลแล้ว แรกเริ่มปลูกเพื่อใช้เป็นเส้นใยและเมล็ดพืช โดยพบว่ากัญชาสายพันธุ์ซาติวาหลากหลายชนิดที่ไม่ออกฤทธิ์ทางจิต มีประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จำนวนมาก ทั้งกระดาษ สิ่งทอ และเชือก
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่ากัญชาสายพันธุ์นี้มนุษย์เริ่มเพาะปลูกที่ไหนเป็นแห่งแรก แต่เชื่อกันว่าพืชดังกล่าวเกิดขึ้นในเอเชียกลาง และหลักฐานที่ทำให้สันนิษฐานว่าเป็นเช่นนั้นก็คือ “เครื่องปั้นดินเผาและเชือกป่านในหมู่บ้านโบราณ” ในไต้หวัน ช่วงยุคหินใหม่ ซึ่งมีอายุย้อนไปเกือบ 12,000 ปี
ดังนั้น กัญชาจึงเป็นหนึ่งในกรณีแรก ๆ ของการเกษตรของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์บางคนแนะนำว่า กัญชาอาจเป็นพืชผลทางการเกษตรชนิดแรก ซึ่งหมายความว่ากัญชาช่วยพัฒนาอารยธรรมได้ด้วย
เมื่อราว 10,000 ปีก่อนคริสตกาล – ยุคเมโสโปเตเมีย
ในดินแดนโบราณของเมโสโปเตเมีย หรือตุรกีในปัจจุบันเมื่อราว 1 หมื่นปีที่แล้ว นักประวัติศาสตร์ก็ได้ค้นพบว่า มนุษย์ได้นำกัญชามาทำเป็นเส้นใย โดยพบตกค้างอยู่ตามพื้นของดินแดนแห่งนี้
เมื่อราว 6,000-8,000 ปีก่อนคริสตกาล – ยุคจีนและญี่ปุ่นโบราณ
พบว่า “กัญชา” ถูกนำมาใช้ทำเส้นใยและอาหารทั้งในประเทศจีนและญี่ปุ่น
ประเทศจีน
นำ “เมล็ดป่านหรือหัวใจป่าน” ซึ่งเป็นเมล็ดของต้นกัญชามากดน้ำมัน เพื่อใช้ทำอาหารหรือทำน้ำสลัด นอกจากนี้ เมล็ดยังคั่วหรือรับประทานดิบเป็นอาหารว่าง อีกทั้ง ยังพบว่ามนุษย์ยุคโบราณในจีนยังอาจใช้กัญชาในการประกอบพิธีฝังศพ หรือเป็นสื่อกลางติดต่อกับวิญญาณ หรือผู้เสียชีวิต แต่มีวิธีการใช้ต่างจากสมัยปัจจุบัน เพราะสมัยก่อนใช้จุดในพื้นที่ที่ปิดและปล่อยไอออกมา ซึ่งอาจเผากัญชาโดยวางบนก้อนหินร้อน ๆ ในเตาไม้
ประเทศญี่ปุ่น
พบว่ามีการใช้เมล็ดป่านเพื่อทำอาหารเช่นกัน โดยเมล็ดพันธุ์กัญชาที่พบในญี่ปุ่นมีอายุกว่า 10,000 ปี ซึ่งคาดว่าเป็นครั้งแรกที่มนุษย์ใช้กัญชาทางโภชนาการครั้งแรก
“เมื่อราว 2,737-800 ปีก่อนคริสตกาล – ยุคเริ่มใช้กัญชาทางการแพทย์”
สมัยจีนโบราณ (เมื่อ 2,737 ปีก่อนคริสตกาล)
“กัญชา” ถูกใช้เพื่อการรักษาโรคตั้งแต่ 2737 ปีก่อนคริสตกาล โดยจักรพรรดิเซินเหนิงแห่งจีนได้รับการบันทึกว่า สั่งชากัญชาเพื่อรักษาโรคเกาต์ โรคไขข้อ โรคมาลาเรีย รวมถึงรักษาอาการความจำเสื่อม
อินเดีย (เมื่อราว 2,000-800 ปีก่อนคริสตกาล)
ในประเทศอินเดียเองก็พบว่า มีการนำตาใบและดอกของต้นกัญชามาทำเป็น “บัง (bhang)” นำมาใช้ทางการแพทย์และพิธีกรรมเพื่อถวายพระอิศวร ขณะเดียวกันนักประวัติศาสตร์ก็พบข้อความศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดูในคัมภีร์อาถรรพ์เวท ซึ่งเป็นคัมภีร์โบราณของศาสนาฮินดู เขียนขึ้นประมาณ 1,500 ปีก่อนคริศตศักราช โดยชนเผ่าอาระยัน มีหลายบทที่มีเนื้อหาครอบคลุมเกี่ยวกับคำสวดขอพรต่าง ๆ พบว่าเนื้อหาบางส่วนมีพูดถึงกัญชาว่าเป็น “หญ้าศักดิ์สิทธิ์”
ไซเธียน (เมื่อราว 1,500 ปีก่อนคริสตกาล)
ในวัฒนธรรมไซเธียนเลือกใช้ “กัญชา” เพื่อทอผ้าป่าน ชาวไซเธียนได้กระจายตัวอยู่ในพื้นที่บางส่วนของประเทศอิหร่าน อัฟกานิสถาน รัสเซีย และอื่น ๆ ในยุคปัจจุบัน
สำหรับอาณาจักรไซเธียนนั้นเชื่อมต่อกับทวีปยุโรปตะวันออกกับเอเชียกลาง นักประวัติศาสตร์จึงไม่แปลกใจว่าทำไมในระยะเวลาต่อมากัญชาได้นิยมอย่างแพร่หลายในพื้นที่นี้
และเมื่อ 430 ปีก่อนคริสตกาล ก็พบว่าชาวไซเธียนได้ใช้กัญชา ทั้งการประกอบพิธีกรรมและสันทนาการ และนี่จึงเป็นจุดกำเนิดของการใช้กัญชาเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจในตะวันออกกลางเป็นต้นมา
เปอร์เซีย (เมื่อราว 700-600 ปีก่อนคริสตกาล)
จากข้อความในคัมภีร์ศาสนาของชาวเปอร์เซียโบราณจำนวนหลายร้อยเล่มเรียก “กัญชา” ว่า “บัง (bhang)” และระบุว่าเป็น “ยาเสพติดที่ดี” และยังเป็นชนชาติแรกที่ค้นพบว่า กัญชามีคุณสมบัติช่วยทำให้นอนหลับดี
“เริ่มต้นคริสต์ศักราช”
กรีซ (คริสต์ศักราช 47-200)
“พลูทาร์ก” นักปราชญ์และนักเขียนชีวประวัติบุคคลชาวกรีก ได้กล่าวถึงการใช้กัญชาของชาวธราเซียน ซึ่งเป็นชนเผ่าอินโด-ยูโรเปียนที่อาศัยอยู่ในยุโรปตอนใต้ ระหว่างปีคริสต์ศักราช 130-200 “ว่าเป็นยามึนเมา” และยังพบว่า “เกเลน (Galen)” แพทย์ชาวกรีกที่มีอิทธิพลต่อวิทยาศาสตร์การแพทย์ของตะวันตกมาเป็นเวลานานกว่าพันปี ได้สั่งจ่ายกัญชาทางการแพทย์ให้กับผู้ป่วยด้วย
โรม (คริสต์ศักราช 50-70)
“พลินีผู้อาวุโส (Pliny the Elder) หรือ กาอิอุส ปลีนิอุส แซกุนดุส (Gaivs Plinivs Secvndvs)” นักปรัชญาและนักธรรมชาติวิทยาชาวโรมัน ได้กล่าวถึงเชือกป่านและผลการบรรเทาความเจ็บปวดของกัญชาในหนังสือ “ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ” ในทำนองเดียวกันกับ “พีดาเนียส ไดออสคอริดีส (Pedanius Dioscorides)” แพทย์ นักเภสัชวิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวโรมในรัชสมัยจักรพรรดินีโร และศัลยแพทย์ในกองทัพโรม ซึ่งมีโอกาสเดินทางไปศึกษาสมุนไพรต่าง ๆ ทั่วทั้งจักรวรรดิ ก็ได้ระบุกัญชาเป็นหนึ่งในตำรับยาของเขา
“การใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ”
เปอร์เซีย (คริสต์ศักราช 1090-1221)
การใช้ “ยางกัญชา” ถูกกล่าวถึงในนิทานของกลุ่มมือสังหาร ขณะที่ตำนานของชาวเปอร์เซียอีกคนหนึ่งระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านเวทย์มนต์ของอิสลาม หรือที่เรียกว่า “ซูฟี” นามว่า “เชคเฮย์ดาร์” เป็นผู้ค้นพบกัญชาและยังอ้างว่าตนเป็นผู้คิดค้นยางกัญชา ก่อนที่จะแพร่หลายไปยังอิรัก อียิปต์ และซีเรียในเวลาต่อมา
เอธิโอเปีย (คริสต์ศักราช 1300)
การค้นพบ “กัญชา” ในเอธิโอเปียมีอายุย้อนไปถึงปี 1300 ปีก่อน มนุษย์ที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่นี้มีการใช้ท่อกัญชาสูบกัญชาเพื่อการผ่อนคลาย
“เริ่มห้ามใช้กัญชาครั้งแรก”
อียิปต์ (คริสต์ศักราช 1253)
อียิปต์เป็นชาติแรกที่เจ้าหน้าที่เริ่มทำสงครามกับยาเสพติด พบว่าเมื่อ 1253 ปีก่อน หากพบว่าใครบริโภคกัญชาจะถูกลงโทษด้วยการถอนฟัน ส่วนผู้ที่ปลูกกัญชาจะได้รับโทษประหารชีวิต
จักรวรรดิออตโตมัน (คริสต์ศักราช 1378)
ในยุคสมัยนี้ มีการบันทึกห้ามใช้กัญชาเป็นครั้งแรก ในปี 1378 โดยประมุขเติร์ก “ซูดูน เชอคูนี (Soudoun Scheukhouni)” ได้วิพากษ์วิจารณ์ว่ากัญชาทำให้เกิดความเกียจคร้าน ในเวลาต่อมาก็ได้ประกาศกฎต้องหามเกี่ยวกับกัญชาข้อแรกและครั้งแรกของโลก คือ “ห้ามคนบริโภคกัญชา”
อาณานิคมของอเมริกา (คริสต์ศักราช 1606-1632)
ตามประวัติศาสตร์ “กัญชา” ถูกนำไปเผยแพร่ฝั่งทวีปอเมริกาโดยชาวอาณานิคมฝรั่งเศสและอังกฤษ แต่ถึงกระนั้นก็มีแต่ป่านเท่านั้นที่นิยมปลูกในอาณานิคมนี้ จนกระทั่งปีคริสต์ศักราช 1606 ชาวฝรั่งเศสได้นำป่านมาที่ท่าเรือรอยัลในแคนาดา และในปีคริสต์ศักราช 1611 ชาวอังกฤษได้ปลูกป่านในอาณานิคมเวอร์จิเนีย และปลูกป่านเรื่อยมาจนกระทั่งในอาณานิคมพลีมัธ ช่วงปีคริสต์ศักราช 1620-1691
สหรัฐอเมริกา (คริสต์ศักราช 1840-1915)
ในอเมริกามีการเตรียมการรักษาทางการแพทย์โดยใช้กัญชาเป็นหลักในช่วงทศวรรษที่ 1840 นอกจากนี้ กัญชายังถูกเพิ่มเข้าไปในรายการของเภสัชตำรับของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นองค์กรด้านวิทยาศาสตร์ที่ไม่ใช่หน่วยงานรัฐ มีหน้าที่กำหนดมาตรฐานสาธารณะสำหรับยาและผลิตภัณฑ์ยาในสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ และในอีก 10 ปีต่อมา ตั้งแต่ปีคริสต์ศักราช 1850-1915 กัญชาถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อเป็นยารักษาโรคในร้านขายยาและร้านค้าทั่วไป แต่นับตั้งแต่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติภาษียาเสพติดแฮร์ริสันปี 1914 การใช้กัญชากลายเป็นอาชญากรรมเป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา
สหราชอาณาจักร (คริสต์ศักราช 1928)
การใช้ “กัญชา” เพื่อสันทนาการ กลายเป็นสิ่งต้องห้ามในสหราชอาณาจักรทั้งหมด ในเวลาเดียวกันแต่ละรัฐของสหรัฐฯ ก็ทยอยห้ามประชาชนบริโภคกัญชา
สหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน (คริสต์ศักราช 1937-ปัจจุบัน)
หนึ่งปีหลังจากการเผยแพร่ภาพยนตร์โฆษณาชวนเชื่อเรื่อง “Reefer Madness” ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อโยนบาปให้กัญชา โดยนำเสนอเนื้อหาการใช้ความรุนแรงของผู้เสพกัญชาออกฉายในปีคริสต์ศักราช 1936 หรือ 1 ปีก่อนที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะออกกฎหมายห้ามใช้กัญชา สภาคองเกรสได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติภาษีกัญชา (พ.ร.บ. ภาษีกัญชา) กำหนดโทษกัญชา
ในปีคริสต์ศักราช 1986 ประธานาธิบดีเรแกนได้ลงนามในพระราชบัญญัติต่อต้านยาเสพติด ซึ่งได้ระงับการลงโทษขั้นต่ำ และเพิ่มบทลงโทษของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษกับผู้ที่ครอบครองและจำหน่ายกัญชา
แต่ยังโชคดีที่รัฐแคลิฟอร์เนียทำให้กัญชาเป็นเรื่องถูกกฎหมายอีกครั้งในปี 1996 ตั้งแต่นั้นมาหลายรัฐและแม้กระทั่งประเทศต่าง ๆ ได้ปฏิบัติตาม และอีกหลายประเทศกำลังพยายามทำให้กัญชาถูกกฎหมาย และต่อมาหลายรัฐก็อนุญาตให้มีการปลูกวิจัยกัญชาเพื่อการแพทย์ อุตสาหกรรมกัญชาในสหรัฐฯ จึงเติบโตอย่างรวดเร็ว และทำรายได้มหาศาลให้กับผู้ผลิต หุ้นกัญชาจำนวนมากก็มีราคาพุ่งสูงอย่างรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่งที่ไม่ค่อยสดใสนักของกัญชา คือ มันยังคงอยู่ในรายการสารเสพติดผิดกฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ
“เริ่มผ่อนปรนการใช้กัญชา”
ต่อจากนั้นในปี 2003 หลายประเทศในยุโรปและลาตินอเมริกาได้ลดโทษของกัญชา เช่น เบลเยียม, ชิลีในปี 2005, บราซิลในปี 2006 และสาธารณรัฐเช็กในปี 2010
ที่อุรุกวัย ประธานาธิบดี “โฆเซ มูฆิกา (Jose Mujica)” ได้ลงนามในกฎหมายเพื่อรับรองกัญชา เพื่อใช้สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจในเดือนธันวาคมปี 2013 ทำให้อุรุกวัยเป็นประเทศแรกในยุคใหม่ที่ทำให้กัญชาถูกกฎหมาย และในเดือนสิงหาคมปี 2014 อุรุกวัยก็ได้รับรองการปลูกกัญชาที่บ้านได้ถึง 6 ต้น รวมถึงก่อตั้งสมาคมกัญชาที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการควบคุมโดยรัฐ และมีร้านขายกัญชาด้วย
ในแคนาดาหลังจากการเลือกตั้งปี 2015 จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีของแคนาดา ได้จัดตั้งรัฐบาลเสรีนิยมในปี 2017 และสภาฯ ได้ผ่านร่างกฎหมายให้กัญชาเป็นพืชถูกกฎหมายเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2018 อย่างเป็นทางการ
สำหรับประเทศไทย “กัญชา” ได้เดินทางเข้าสู่ประเทศเมื่อกัญชาแพร่หลายในอินเดียหรือราวปีคริสต์ศักราช 1300 ปีเป็นต้นมา และยังนิยมใช้แพร่หลายในนานาประเทศของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย โดยกัญชานั้นเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่คนใช้เป็นส่วนประกอบอาหาร เครื่องเทศ ยา และเป็นแหล่งของเส้นใย
ก่อนที่กัญชาจะถูกห้ามใช้ราวคริสต์ศักราช 1930 หลังทราบกันว่าผู้ใช้แรงงานใช้กัญชาเป็นยาคลายกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าใช้เพื่อบรรเทาการเจ็บครรภ์ของหญิงได้อีกด้วย
ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ. 2477 (1934) กำหนดให้การครอบครอง ขายและใช้กัญชาเป็นความผิดตามกฎหมาย กฎหมายอีกสองฉบับที่มีความสำคัญ ได้แก่ พระราชบัญญัติยาเสพติด พ.ศ. 2522 (1979) และพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 (1975)
อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง “ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5” ลงราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป ได้ปลดล็อกส่วนของกัญชาและกัญชงให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่จัดเป็นยาเสพติดได้เฉพาะส่วน แต่ไม่รวมช่อดอกและเมล็ดกัญชา ซึ่งยังควบคุมเป็นยาเสพติด เว้นใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ จะปลูก สกัด และผลิตยังต้องขออนุญาต
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นนิมิตหมายอันดีของ “กัญชา” ที่อาจกลายเป็นพืชเศรษฐกิจทำเงินของไทยในอนาคต และพืชแห่งศตวรรษที่ 21 ของโลกด้วย?!
Website : weedhub.asia
Facebook : weedhub.asia
Twitter : weed_hub
Instagram : weedhub_asia
2 Comments
I really appreciate this post. I’ve been looking everywhere for this! Thank goodness I found it on Bing. You have made my day! Thanks again
I am curious to find out what blog system you’re using? I’m experiencing some minor security problems with my latest site and I would like to find something more secure. Do you have any solutions?