ยิ่งเวลาผ่านพ้นไปเท่าไหร่ อุตสาหกรรมกัญชายิ่งเติบโต ไปพร้อม ๆ กับมีตลาดกัญชาเกิดใหม่ในหลายประเทศทั่วโลก และเริ่มต้นศักราชใหม่พ.ศ. 2565 (ค.ศ. 2022) ทั้งที ผู้ประกอบการธุรกิจกัญชาอาจกำลังมองหาลู่ทางขยับขายกิจการ หรืออยากจะตีตลาดต่างประเทศก็ท้าทายไม่ใช่น้อย แต่ถ้าทำได้ก็กินกำไรยาว เพราะตลาดกัญชาในระดับนานาชาตินั้นใหญ่และเปิดรับสินค้าจากกัญชาหลากหลายรูปแบบ แต่ประเทศใดกันที่เหมาะกับการเริ่มต้นทำธุรกิจกัญชามากที่สุดกัน?
WeedHub พบว่ามี “12 ประเทศที่น่าเริ่มต้นทำธุรกิจกัญชา” จากการสำรวจและศึกษาข้อมูลโดยนิตยสารธุรกิจกัญชา (Marijuana Business Magazine) ล่าสุด ซึ่งแต่ละประเทศมีนโยบายที่เอื้อนักลงทุนและนักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศให้สามารถดำเนินธุรกิจกัญชาได้ง่าย ไม่มากขั้นตอน และประชาชนยังเปิดใจทดลองสินค้าจากกัญชาใหม่ ๆ อีกด้วย
ออสเตรเลีย
“ออสเตรเลีย” เริ่มออกใบอนุญาตปลูกกัญชาอย่างถูกกฎหมายให้กับทุกคนเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2561 (2018) โดยมีสำนักยาและสำนักงานคณะกรรมการกำกับสินค้าเพื่อการรักษา เป็นผู้ดูแลและควบคุมการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าจากกัญชา และนับตั้งแต่ออสเตรเลียเปิดให้มีการใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ พบว่ามีผู้ป่วยราว 9,300 ราย ได้รับการรักษาจากกัญชา แม้ตัวเลขนี้จะดูเหมือนน้อย แต่ขอบอกว่าตัวเลขผู้ป่วยได้รับยาจากกัญชาในออสเตรเลียนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเร็วกว่าที่ประเทศแคนาดา เมื่อเทียบจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับยาจากกัญชาในระยะเวลา 1 ปีแรกเหมือนกัน
และแม้ว่าจะมีการออกใบอนุญาตผู้ปลูกกัญชาที่ง่ายดาย แต่ดูเหมือนว่าจะมีผู้ขอใบอนุญาตปลูกกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์เพียง 27 ราย และ 17 ราย เพื่อเพาะปลูกในการทำวิจัยตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ทำให้มีการนำเข้าจำนวนมาก ทั้งนี้ ออสเตรเลียยังตั้งเป้าจะเป็นศูนย์กลางการส่งออกกัญชาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก หากชาวไทยคนไหนอยากปลูกกัญชาก็อย่ารอช้าจัดแจงเอกสารไปขอใบอนุญาตกันเลย!
ขณะที่ข้อมูลทางสถิติ Statista คาดว่าตลาดกัญชาเพื่อทางการแพทย์ของออสเตรเลียมีศักยภาพมหาศาล โดยในปี 2567 (2024) ตลาดกัญชาจะมีมูลค่าราว 1.2 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย และในปี 2571 (2028) เพิ่มสูงขึ้นเป็น 3 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย มูลค่าเพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดจากปี 2561 (2018) ที่มีมูลค่าอยู่ราว 17.8 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียเท่านั้น
บราซิล
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องเด่นของ “บราซิล” หลายคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า คือเรื่องการท่องเที่ยว ขณะที่อุตสาหกรรมกัญชาที่นี่ก็บูมไม่แพ้กัน แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่สามารถเทียบกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้ที่เป็นนัมเบอร์วันตลอดกาล (และอาจจะตลอดไป) แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า บราซิลเป็นอีกประเทศหนึ่งที่เปิดให้ประชาชนสามารถทำธุรกิจเกี่ยวกับกัญชาได้อย่างเสรีภายใต้กฎหมายและข้อบังคับ RDC No. 17/2015 และ Portaria 344/1998 โดยเริ่มจากการใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ โดยมีสำนักงานเฝ้าระวังสุขาภิบาลแห่งชาติควบคุมการนำเข้ายาจากกัญชา และอนุญาตการใช้ยาจากกัญชาอย่างการุณย์ (หรืออนุญาตให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาจากกัญชาที่รีบผลิตขึ้นมา เพื่อรักษาและบรรเทาอาการของโรคที่รุนแรงไปพลางก่อนแม้ว่าจะยังไม่มั่นใจว่าจะมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด หรือมีผลข้างเคียงหรือไม่ อย่างไร ในปี 2558 (2015) โดยผู้ป่วยต้องทำเรื่องขออนุญาตก่อน
สำหรับบราซิล มีผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยยาจากกัญชาตั้งแต่ปี 2557 (2014) และในปี 2562 (2019) ในไตรมาสแรกของปีดังกล่าว สำนักงานเฝ้าระวังสุขาภิบาลแห่งชาติของบราซิล (ANVISA) ได้อนุญาตให้ใช้ยาจากกัญชามากถึง 884 รายการ และต่ออายุยาจากกัญชาอีก 170 รายการออกไปเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นนักธุรกิจกัญชา การส่งออกยาที่มีส่วนผสมของกัญชาเข้าไปในประเทศนี้อาจเป็นเรื่องยาก แต่หากไปทำธุรกิจเพาะปลูกกัญชา และต่อยอดผลิตภัณฑ์เป็นยาและอื่น ๆ นั้นเป็นเรื่องง่ายกว่ามาก ใครสนใจลงทุนทำธุรกิจกัญชาในแถบอเมริกาใต้ บราซิลก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ดี
โคลอมเบีย
“โคลอมเบีย” เป็นประเทศที่นักธุรกิจสายเขียวในทวีปอเมริกาเหนือหมายปองนัก เพราะรัฐบาลได้มีมติรับรองใช้กฎหมายกัญชาเพื่อทางการแพทย์ในปี 2559 (2016) แต่จนถึงปัจจุบันนี้ ในประเทศยังไม่มีผลิตภัณฑ์ยาจากกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์จำหน่ายในตลาดของตัวเอง แม้ว่าในโคลอมเบียจะมีบริษัทมากมายกว่า 100 แห่ง ที่ได้รับใบอนุญาตการผลิตและเพาะปลูกกัญชาอย่างถูกกฎหมายแล้วก็ตาม สืบเนื่องมาจากยังไม่มีผู้ป่วยที่ต้องการใช้ยาจากกัญชา (ก็เพราะในประเทศยังไม่มียาจากกัญชาให้ใช่นะสิ) ส่วนผลิตภัณฑ์จากกัญชาที่มีค่าที่เอชซี (THC) สูง นั้นถูกส่งออกเพื่อใช้ในการวิจัยเท่านั้นมาตั้งแต่กลางปี 2562 (2019)
หากนักธุรกิจสายเขียวชาวไทยอยากไปเปิดตลาดผลิตภัณฑ์ยาจากกัญชาที่โคลอมเบีย การไปตั้งรากฐานที่นั่นตั้งแต่ตอนนี้ก็เป็นการปูทางสู่ตลาดกัญชาขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในอเมริกาใต้ และการเป็นเจ้าแรก ๆ ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาจากกัญชาให้กับคนในตลาดนี้ ก็มีเปอร์เซ็นต์ประสบความสำเร็จและโกยกำไรมหาศาลก่อนใครเพื่อน และครองตลาดได้ก่อน เรียกว่า “ใครมาก่อนได้ก่อน” “ใครมาก่อนชนะ!”
เยอรมนี
“เยอรมนี” เป็นตลาดกัญชาเพื่อทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดนอกทวีปอเมริกาเหนือ แต่กลับมีผู้ป่วยในประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยาที่มีส่วนผสมของกัญชาเพียง 1,000 รายเท่านั้น โดยส่วนใหญ่ผู้ที่ใช้ได้เป็นผู้ที่มีโรคเรื้อรัง หรืออยู่ในขั้นตอนการรักษาระยะสุดท้ายแล้วเท่านั้น ด้วยความที่มีคนใช้น้อย ทำให้เยอรมนีสามารถส่งออกยาที่มีสารสกัดจากกัญชาไปต่างประเทศได้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ราคาดอกกัญชายังขายได้ราคางามอีกด้วย เฉพาะส่วนดอกของกัญชาที่นำไปใช้เพื่อทางการแพทย์จำหน่ายอยู่ที่กรัมละ 731 บาท และในแต่ละปีมีแนวโน้มการนำกัญชามาผลิตเป็นยาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากสถิติปริมาณการใช้ดอกกัญชาเพื่อทางการแพทย์ในปี 2560 (2017) ประมาณ 1,200 กิโลกรัม, ในปี 2561 (2018) ประมาณ 3,000 บาท และปี 2562 (2019) ประมาณ 2,500 กิโลกรัม
ความต้องการดอกกัญชาที่เพิ่มขึ้นนี้เอง นักธุรกิจหรือเกษตรกรกัญชาไทยรายใดมีดอกกัญชาเหลือเฟือส่งออกไปเยอรมนีก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แน่นอนว่าต้องปรับคุณภาพดอกให้ได้มาตรฐานเขาด้วยล่ะ
อิสราเอล
สำหรับประเทศ “อิสราเอล” อนุญาตให้มีการใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ แต่ต้องให้แพทย์เป็นผู้ออกยาให้มาตั้งแต่ปี 2516 (1973) แต่อุตสาหกรรมกัญชาในอิสราเอลเพิ่งจะเริ่มต้นเป็นรูปเป็นร่าง มีการออกกฎเกณฑ์และข้อบังคับเป็นกิจลักษณะช่วงปี 2533 (1990s) สำหรับผลิตภัณฑ์กัญชาที่จำหน่ายในตลาดกัญชาของอิสราเอลปัจจุบันมี 4 อย่างด้วยกัน ได้แก่ ดอกกัญชา, น้ำมันกัญชา, ยาเม็ดจากกัญชา และขี้ผึ้งผสมกัญชา และปัจจุบันมีผู้ป่วยชาวอิสราเอลที่เข้าร่วมโครงการรักษาโรคด้วยกัญชาแล้วกว่า 46,000 ราย และผู้เข้าร่วมโครงการแต่ละคนจะได้ดอกกัญชาเพื่อใช้บรรเทาอาการของโรคจากร้านขายยา พร้อมกับรายชื่อร้านขายยาที่ซื้อดอกกัญชาจากผู้เพาะปลูกกัญชาที่ขึ้นทะเบียนกับภาครัฐตามกฎหมายจำนวน 8 รายด้วย
หลายคนอาจสงสัยแล้วว่าในอิสราเอลมีผู้ปลูกกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์เพียงเลขหลักหน่วยเท่านั้นเหรอ? อันที่จริงแล้วมีผู้ปลุกกัญชาขึ้นทะเบียนกับภาครัฐหลายสิบรายด้วยกัน ในจำนวนนี้ 50 ราย เป็นผู้ปลูกกัญชาเชิงพาณิชย์เพื่อใช้ในการวิจัย และมีเกษตรกรผู้ปลูกกัญชารายย่อยเกือบ 600 รายที่มีใบอนุญาตปลูกกัญชาได้ถูกต้องตามกฎหมาย
หากคุณเป็นนักธุรกิจสายเขียวที่เล็งจำหน่ายดอกหรือยาจากกัญชาสำหรับรักษาโรค ประเทศเล็ก ๆ อย่างอิสราเอลก็เหมาะกับคุณ
อิตาลี
และประเทศในยุโรปที่มีตลาดกัญชาทางการแพทย์ใหญ่เป็นอันดับ 2 คือ “อิตาลี” และเป็นประเทศแรก ๆ ในยุโรปที่แพทย์สามารถแนะนำยาที่สกัดจากกัญชาได้มาตั้งแต่ปี 2549 (2006) แต่ยังไม่มีการกำหนดปริมาณสารสกัดจากกัญชา ว่าแต่ละคนควรใช้ในปริมาณเท่าใดจึงจะพอเหมาะกับร่างกาย จนกระทั่งในปี 2557 (2014) สำหรับยอดการซื้อขายดอกกัญชาในอิตาลี บอกเลยว่าตลาดกัญชาในประเทศนี้มีความต้องการดอกเพื่อจัดทำยาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากสถิติยอดขายดอกกัญชาในปี 2561 (2018) มียอดขายประมาณ 578 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 65% ที่มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 351 กิโลกรัม ตามรายงานของนิตยสารธุรกิจกัญชารายวัน ส่วนราคาส่วนดอกสำหรับใช้เพื่อทางการแพทย์ในอิตาลี จำหน่ายอยู่ที่กรัมละ 565-698 บาท
ทั้งนี้ สินค้าจากกัญชาส่วนใหญ่มาจากการนำเข้าจากประเทศเนเธอร์แลนด์ และตัวดอกจะถูกผลิตโดยกระทรวงกลาโหมของอิตาลี (มีผู้ปลูกท้องถิ่นเพียงรายเดียวเท่านั้นในอิตาลีที่ได้รับอนุญาตให้ปลูกกัญชาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย) โดยสามารถผลิตกัญชาออกมาสู่ตลาดได้ประมาณปีละ 100-150 กิโลกรัม และแม้ว่าอิตาลีจะสามารถใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ได้แล้ว แต่ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ได้จริงต้องเข้าเงื่อนไขของทางภาครัฐ คือเป็นผู้ป่วยที่มีอาการอยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว หรือเป็นตัวเลือกสุดท้ายของการรักษา
ใครอยากส่งออกสินค้าจากกัญชาเพื่อทางการแพทย์คงทำได้ไม่ต้องคิดมาก แต่ถ้าจะปลูกกัญชาแข่งก็คงยาก เพราะเจ้าถิ่นเขาเป็นถึงทหาร
จาเมกา
“จาเมกา” เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่ามีหาดสวยราวกับสวรรค์บนดิน โดยเฉพาะหาดบริเวณอ่าวมอนเทโก แต่แค่รายได้จากการท่องเที่ยวคงจะเลี้ยงทั้งประเทศได้ไม่พอ จาเมกาพยายามหาลู่ทางทำทำเงินเข้าประเทศอื่น ๆ ด้วย และล่าสุดคือ การอนุญาตให้นักท่องเที่ยวสามารถซื้อกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์ได้ แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด ปัจจุบันในประเทศจาเมกามีธุรกิจที่ได้รับใบประกอบอนุญาตการปลูกกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์แล้วทั้งหมด 33 ราย และยังมีอีกหลายรายที่กำลังรออนุมัติจากภาครัฐ โดยมีผู้ยื่นขอใบอนุญาตทำธุรกิจกัญชาแล้วกว่า 200 ราย เพื่อทำธุรกิจกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์จำนวนทั้งหมด 627 รายการ นั่นหมายความว่า จาเมกายังมีผู้ปลูกกัญชาและผู้ขายกัญชาน้อยอยู่
สำหรับใบอนุญาตทำธุรกิจกัญชามีทั้งหมด 5 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ ใบอนุญาตเพื่อการเพาะปลูก, ใบอนุญาตเพื่อการแปรรูปผลิตภัณฑ์กัญชา, ใบอนุญาตขนส่งกัญชา, ใบอนุญาตขาย และใบอนุญาตเพื่อขอวิจัยและพัฒนากัญชา โดยผู้สมัครอาจยื่นขอใบอนุญาตได้มากกว่าหนึ่งประเภท ส่วนใบอนุญาตการขายกัญชายังรวมถึงการขอไปเพื่อให้สถานที่นั้น ๆ สามารถใช้กัญชาได้ หรือแม้กระทั้งการทำสปากัญชาก็ต้องขอใบอนุญาตประเภทนี้
หากสหรัฐฯ เป็นตลาดกัญชาที่ตียากไปสำหรับคุณ จาเมกาเป็นอีกประเทศที่นักธุรกิจสายเขียวชาวไทยน่าเข้าไปเจาะตลาดกัญชาและขยายธุรกิจกัญชาในทวีปอเมริกาเหนือ แถมที่นี่ยังมีธรรมชาติที่สวยงาม เรียกว่าทำธุรกิจไป ได้เสพบรรยากาศวิวทะเลแคริบเบียนสุดงามตาไปด้วย แถมที่นี่ยังมีผลิตภัณฑ์กัญชาที่หลากหลายนัก ได้แก่ สารสกัดจากน้ำมันกัญชา และผลิตภัณฑ์ผสมอาหาร เช่น ยารับประทาน ทิงเจอร์ เป็นต้น
เลโซโท
“เลโซโท” ฝันที่จะเป็นศูนย์กลางการส่งออกกัญชาของทวีปแอฟริกา และเป็นเหมือนหลาย ๆ ประเทศที่เปิดให้ทำธุรกิจกัญชาได้ แต่ต้องเป็นไปเพื่อทางการแพทย์เท่านั้น สำหรับเลโซโทเริ่มให้คนทำธุรกิจกัญชาเพื่อทางการแพทย์บางอย่างได้ตั้งแต่ปี 2551 (2008) ปัจจุบันเลโซโทยังไม่มีผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาที่มีส่วนผสมของกัญชาแม้แต่คนเดียว โดยกฎระเบียบส่วนใหญ่ที่ออกมาบังคับใช้ในประเทศเน้นไปที่การประกอบธุรกิจที่ต้องปลูกและผลิตกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์สำหรับส่งออกต่างประเทศ และที่สำคัญในประเทศนี้ยังมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาจากกัญชาใดเลยในตลาด แม้ว่ากฎเกณฑ์ข้อบังคับเกี่ยวกับกัญชาของภาครัฐจะไม่ได้ระบุว่าห้ามผลิตสินค้าจากกัญชาเพื่อทางการแพทย์ก็ตาม และไม่มีการกำหนดปริมาณสารทีเอชซีในผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ด้วย ว่าห้ามเกินปริมาณเท่าไหร่
เนเธอร์แลนด์
เมื่อพูดถึงผลิตภัณฑ์กัญชา หลายคนอาจนึกถึง “เนเธอร์แลนด์” เป็นประเทศแรก เพราะที่นี่เขามีผลิตภัณฑ์จากกัญชาที่หลากหลายมากตั้งแต่ขนมไปจนถึงยารักษาโรค แถมยังเป็นหนึ่งสิ่งที่นักท่องเที่ยวไทยจะต้องไปกว้านซื้อมาลิ้มลองเองหรือแจกเพื่อนฝูงที่อยากลิ้มลองรสชาติของกัญชา สมฐานะประเทศที่มีตลาดกัญชาใหญ่เป็นอันดับ 3 ของทวีปยุโรป สำหรับเนเธอร์แลนด์เริ่มให้มีการจำหน่ายยาจากกัญชาในร้านขายยาเป็นครั้งแรกในฤดูใบไม้ร่วงปี 2546 (2003) นอกจากนี้ เนเธอร์แลนด์ยังเป็นประเทศที่สามารถเรียกตัวเองว่า “เสรีกัญชา” ได้ เพราะคุณสามารถสูบหรือใช้กัญชาได้อย่างเสรี เพียงไปหาซื้อได้ที่ตามร้านขายยา ซึ่งมีผลิตภัณฑ์น้ำมันกัญชาและดอกกัญชาให้คุณได้พร้อมใช้เสร็จสรรพ
หากนักธุรกิจสายเขียวมีผลิตภัณฑ์จากกัญชาแบบใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน ตลาดกัญชาของเนเธอร์แลนด์เป็นแหล่งให้คุณได้ทดลองจำหน่ายและใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาใหม่ ๆ ที่ยอดเยี่ยม
แอฟริกาใต้
แม้ว่ากัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์จะถูกกฎหมายในประเทศ “แอฟริกาใต้” แต่โอกาสทางธุรกิจก็มีความยากลำบากสักเล็กน้อยตรงเรื่องกฎระเบียบ แต่หากได้รับการอนุมัติผ่านแล้วก็เป็นเรื่องง่ายที่จะตีตลาดประเทศนี้ เพราะยังมีผลิตภัณฑ์จากกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์น้อย เพราะยังไม่มีบริษัทใดในประเทศที่ได้รับการอนุมัติให้ผลิตผลิตภัณฑ์กัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์ เช่น สารสกัดจากน้ำมัน แต่ที่น่าสนใจที่สุดสำหรับการทำธุรกิจกัญชาในแอฟริกาใต้คือ หากคุณทำผลิตภัณฑ์กัญชาโดยมีแต่สารซีบีดี (CBD) จากกัญชาอย่างเดียว ก็ไม่จำเป็นต้องขอใบอนุญาตปลูกกัญชา (ซึ่งครอบคลุมการใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์) แต่หากผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มีสารซีบีดีและทีเอชซี หรือมีแต่สารทีเอชซีก็ต้องขอใบอนุญาต
อุรุกวัย
สำหรับ “อุรุกวัย” มีตลาดกัญชาเกิดขึ้นตามกระแสกัญชาโลก แต่มีบริษัทในประเทศที่ผลิตผลิตภัณฑ์จากกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์แค่เพียงแห่งเดียว คือ “เมดิคปลาสต์ (Midicplast)” และมีสินค้าอย่างเดียวที่ออกมาจำหน่ายคือ น้ำมันกัญชา ซึ่งมีสารซีบีดีเพียง 2-5% และมีสารทีเอชซีน้อยกว่า 0.5% และที่สำคัญกัญชาที่ใช้ในการผลิตยังต้องนำเข้าจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์อีกต่างหาก และที่นี่ผู้ป่วยสามารถสั่งกัญชานำเข้าเพื่อมาใช้รักษาตนเองได้ แต่ห้ามสั่งในปริมาณมากเพื่อนำมาจัดจำหน่ายเอง
ที่สำคัญอุรุกวัยยังเป็นประเทศแรกในโลกที่ปลดล็อกกัญชาในทุกรูปแบบให้ถูกกฎหมาย ไม่ว่าจะในเชิงอุตสาหกรรม การแพทย์ และเพื่อสันทนาการมาตั้งแต่ปี 2013 แต่ถึงกระนั้น มีเพียง 2 บริษัทที่ปลูกกัญชาเพื่อสันทนาการและจำหน่ายในท้องตลาด ส่วนราคาที่จำหน่ายก็เป็นไปตามที่ภาครัฐกำหนด ปัจจุบันกัญชาที่อุรุกวัยตกที่กรัมละ 43 บาท และผู้ที่ต้องการใช้กัญชาสามารถหาซื้อกัญชามาใช้ได้เองจากร้านขายยา บ้านคนที่ปลุกกัญชา หรือคลับกัญชาที่ไม่แสวงหาผลกำไร อีกทั้ง ภาครัฐของอุรุกวัยยังได้เปิดรับสมัครผู้ขอใบอนุญาตปลูกกัญชาแบบง่าย ๆ เพื่อส่งเสริมและเพิ่มจำนวนผู้ปลูกกัญชาในประเทศ เพื่อให้ทันตอบสนองต่อความต้องการของตลาดต่างประเทศ
ซิมบับเว
และประเทศสุดท้ายที่น่าลงทุนทำธุรกิจกัญชาลำดับสุดท้ายที่ WeedHub ขอแนะนำ คือ “ซิมบับเว” นอกจากมีน้ำตกวิกตอเรีย หนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลกแล้ว ยังพยายามสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศด้วยการเป็นแหล่งเพาะปลูกกัญชาทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปแอฟริกา โดยออกกฎหมายให้สามารถใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ได้อย่างถูกต้องตั้งแต่ปี 2561 (2018) โดยทุกคนสามารถเพาะปลูกกัญชาเพื่อใช้เอง เพื่อการวิจัย และการนำเข้า/ส่งออกส่งออกได้ ซึ่งกฎระเบียบคล้ายกับของประเทศแคนาดาเลย อย่างไรก็ตาม การโฆษณาผลิตภัณฑ์ทำจากกัญชายังเป็นสิ่งต้องห้าม และการขอใบอนุญาตปลูกกัญชานั้นแพงหูฉี่ ใบละ 1.6 ล้านบาท! และต้องต่อใบอนุญาตทุก ๆ 5 ปีอีกด้วย ส่วนผลิตภัณฑ์กัญชาที่มีจำหน่ายในตลาดซิมบับเว มีเพียง กัญชาแห้ง, กัญชาสด, น้ำมันกัญชา และเมล็ดพันธุ์กัญชา
รู้แบบนี้แล้ว นักธุรกิจไทยก็เตรียมเก็บเงินไปขอใบอนุญาต แต่ทางรัฐบาลซิมบับเวเขาก็มีเงื่อนไขสำหรับผู้ที่จะเข้าไปทำธุรกิจกัญชา หากคุณเป็นชาวซิมบับเวแต่กำเนิดก็คงไม่มีปัญหา แต่หากคุณเป็นชาวต่างชาติจะต้องมีการจดจัดตั้งบริษัทในซิมบับเวเท่านั้น
สำหรับนักธุรกิจสายเขียวชาวไทยคนไหน อ่านบทความนี้แล้วเกิดแรงบันดาลใจหรือมีไอเดียไปตีตลาดกัญชาในต่างประเทศ ก็อย่าลืมศึกษาเงื่อนไขการเข้าไปประกอบธุรกิจกัญชาในประเทศนั้น ๆ อย่างละเอียด โดยสามารถขอคำปรึกษาและแนะนำได้จาก สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่มาข้อมูล: Marijuana Business Magazine
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง: 5 กฎหมายกัญชาแปลกรอบโลก
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง: เปิด 10 อันดับแฟรนไชส์กัญชามาแรงที่สุดในปี 2021
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง: ส่อง 9 ธุรกิจกัญชาไอเดียแปลกในไทยและต่างประเทศที่ทุกคนต้องร้อง “ว้าว!”